เป็นชื่อภูเขาที่ตั้งขนาบสองฟากแม่น้ำกระบี่ (คลองกระบี่ใหญ่) ทางด้านหน้าตัวเมือง ถือเป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองกระบี่ด้วย ภายในถ้ำมีหินงอกหินย้อยงดงาม เป็นแหล่งที่เคยมีการขุดค้นหลักฐานทางโบราณคดีพบเครื่องมือหิน เครื่องปั้นดินเผา โครงกระดูกและพระพิมพ์ดินดิบสมัยคุปตะ ทั้งนี้เพราะว่าเขาขนาบน้ำตั้งอยู่ตรงเส้นทางการเดินเรือ และเส้นทางเดินโบราณที่เข้าไปแหล่งโบราณคดีทับปริกหรือเดินทางต่อข้ามแหลมไปทางฝั่งตะวันออกก็ได้ เขาขนาบน้ำมีตำนานพื้นบ้านเล่ากันว่า นานมาแล้วเมื่อตรงนี้ เป็นเมืองเจ้าเมืองมีธิดาผู้สวยงามเป็นที่หมายปองของบรรดาชายหนุ่ม ทั้งหลาย ใครๆ ก็หมายปองที่จะได้ชมโฉมธิดาเจ้าเมืองให้จงได้ วันหนึ่งเกิดเหตุการณ์ปะทะกันขึ้น ระหว่างชายหนุ่มผู้หมายปองนางสองคน คนหนึ่งเป็นมนุษย์คนหนึ่งเป็นยักษ์ ทั้งสองมาประจันหน้ากันคนละฝั่งน้ำ สำแดงฤทธิ์ซัดสาดอาวุธเข้าใส่กัน ในที่สุดก็ถูกอาวุธซึ่งกันและกันตายลงทั้งคู่ ศพของยักษ์และชายหนุ่มกลายเป็นภูเขาอยู่คนละ ฝั่งน้ำ อาวุธของมนุษย์เป็นดาบได้ปลิวไปไกลตกที่ตำบลหนึ่งซึ่งมีชื่อเรียกภายหลังว่า“บ้านกระบี่น้อย” ส่วนอาวุธของยักษ์ก็เป็นดาบเช่นกัน แต่โตและหนักกว่าก็ตกอยู่ที่นั่น ซึ่งเรียกกันต่อมาว่า “บ้านกระบี่ใหญ่”
หลังจากนั้นมาเนิ่นนานเมื่อผู้คนเข้าไปหักร้างถางพงตั้งเป็นเมืองขึ้นแล้ว เขาขนาบน้ำเป็นประตูแรกที่นักท่องเที่ยวได้ชมความงามของถ้ำ บางท่านได้เล่าว่า เมื่อการขุดพบกระบี่ที่บ้าน นาหลวง ตำบลปกาไสใหม่ ๆ ได้นำมาเก็บไว้ในเขาขนาบน้ำซึ่งต่อมาได้หายไป และบางท่านก็บอกว่าได้นำดาบนั้นมาถวายต่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมัยก่อนที่ยังไม่มีถนนชาวเรือมักจะแวะพักที่ถ้ำนี้เสมอและเล่ากันต่อมาว่าเคยมี “ตันหยง” คณะหนึ่งกลับจากงานแสดงผ่านมาพักที่ถ้ำนี้แล้วนอนหลับไปด้วยความอ่อนเพลียจนกระทั่งน้ำขึ้นท่วมปากถ้ำ
หนีไม่ทันตาย กันหมดทั้งคณะ คนเก่าแก่ยังเล่าขานกันว่าถ้าล่องเรือผ่านประตูผานี้ยาม ค่ำคืนในมิติที่เหมาะสม เคยได้ยินเสียงรำมะนาและเพลงตันหยงแว่วมาเสมอ ความจริงจะเป็นเช่นไรไม่มีใครยืนยัน นอกจากทั้งสองภูที่นั่งบ่นสนทนากันมาชั่วนิรันดร์กาล